คุณรู้หรือไม่ว่า…การจะใช้กาแฟผงที่บดละอียดระดับใดนั้น
ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องชงที่เราใช้ด้วยค่ะ เครื่องชงกาแฟนั้นมีมากมายให้เราเลือกใช้ตามรสนิยมของการดื่มกาแฟ
และฐานะของแต่ละคน
เริ่มต้นด้วยเครื่องไอบริค (Ibrik) อุปกรณ์ชงกาแฟเก่าแก่สไตล์เตอร์กิช
เป็นภาชนะทรงกรวยทำจากทองเหลืองหรือทองแดง และด้ามจับยาวมีร่องปากสำหรับรินน้ำกาแฟ
บางครั้งก็อาจจะเติมน้ำตาลเข้าไปในหม้อด้วยเพื่อเพิ่มรสหวาน
และยังเพิ่มรสและกลิ่นด้วยกระวาน (cardamom) ผลที่ได้คือกาแฟเข้มข้นถ้วยเล็กๆ
มีฟองอยู่ข้างบน และกากกาแฟกองหนาเหมือนโคลนอยู่ที่ก้น นิยมใช้ในประเทศแถบอาหรับ
ซึ่งยังคงใช้อยู่ในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ ตุรกี และกรีซ
 |
French Press |
French Press หรือ Coffee Plunger เป็นแก้วชงแบบใช้ลูกสูบ มีลักษณะเป้นแก้วทรงกระบอกมีก้านโลหะอยู่ตรงกลาง
ด้านบนสุดของก้านภายในจะเป็นแผ่นกรอง (Filter) สเตนเลสที่ประกอบติดอยู่กับฝาครอบด้านใน
วิธีชงให้ได้รสชาติของกาแฟสดแท้ๆ ต้องใช้กาแฟแบบบดหยาบมากๆ วิธีชงก็ง่ายเพียงเลือกกาแฟที่ต้องการใส่ลงในแก้วชง
เทน้ำร้อนใส่จนท่วมทิ้งไว้ 4 นาที จึงกดลูกสูบลงเพื่อดันกากกาแฟให้ไปอยู่ก้นแก้วจะได้น้ำกาแฟสดที่มีกลิ่นหอม จากนั้นสามารถรินกาแฟเติมนม ครีม หรือน้ำตาลตามชอบ
เป็นที่นิยมของคอกาแฟส่วนใหญ่ เพราะใช้งานง่าย ไม่เปลืองไฟฟ้า
แต่มีข้อด้อย คือมักจะมีกากกาแฟเล็ดลอดออกมาผสม
ทำให้ความสุนทรีในขณะที่จิบกาแฟนั้นลดลงบ้าง
 |
Drip Coffee Maker |
Drip Coffee Maker เป็นเครื่องชงกาแฟแบบหยด หรือแบบกรอง
ใช้หลักการให้น้ำร้อนผ่านผงกาแฟคั่วที่บดละเอียดปานกลางใส่ในกระดาษกรอง
ใช้ควมร้อนของน้ำที่อุณหูมิประมาณ 90-220 องศาฟาเรนไฮต์ กลั่นน้ำกาแฟออกมา
ที่สำคัญ คือ Drip Coffee Maker เป็นเครื่องชงกาแฟแบบหยดที่ใช้สะดวก
ง่าย และเหมาะสำหรับใช้ภายในบ้าน
วิธีนี้เป็นวิธีที่ร้านกาแฟนิยมใช้มากที่สุด เครื่องชงกาแฟแบบนี้มักมาพร้อมกับที่อุ่นนมและทำฟองนม
ข้อดีคือถ่ายทอดรสชาติและจุดเด่นของกาแฟได้ดี
ในปีค.ศ.1904 แฟร์นันโด อิลลี (Fernando
Illy) ได้ผลิตเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ขึ้น และในปี ค.ศ.1946 อาคิลลิส กักจา (Achilles Gaggia) ชาวอิตาลีก็ได้พัฒนาเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ให้สมบูรณ์ขึ้น
ในปีเดียวกันนี้ กาแฟ”คาปูชิโน่” อันหมายถึงกาแฟเอสเพรสโซ่ใส่นม
และฟองนมได้ถือกำเนิดขึ้น เชื่อกันว่า
ที่มาของชื่อนี้มาจากฟองนมเหนือกาแฟนั้นคล้ายกับผ้าคลุมศรีษะของพระในนิกายคาปูชิน
นั่นเอง
Espresso Machine เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่จะใช้น้ำร้อนที่มีแรงดันไอน้ำในหม้อต้ม
(Boiler) อัดกาแฟบดละเอียดในถ้วยกรองกาแฟ หรือ Portafilter
ก็จะได้หัวกาแฟเข้มข้นออกมาที่ Espresso Shot ซึ่งจะทำให้ได้กาแฟเอสเพรสโซ่สีทองที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วร้าน
ครื่องชงแบบนี้มีราคาแพงตั้งแต่หลักหมื่นขึ้นไปจนถึงหลายๆ แสนเลยทีเดียว และมีให้เลือกหลายขนาด
เครื่องเอสเพรสโซ่ขนาดเล็กที่สุดจะให้เอสเพรสโซ่ 2 แก้วช็อด โดย
1แก้วช็อดให้กาแฟ 1 ออนซ์(30
ml)
วิธีนี้เป็นวิธีที่ร้านกาแฟนิยมใช้มากที่สุด เครื่องชงกาแฟแบบนี้มักมาพร้อมกับที่อุ่นนมและทำฟองนม
ข้อดีคือถ่ายทอดรสชาติและจุดเด่นของกาแฟได้ดี
ในปีค.ศ.1904 แฟร์นันโด อิลลี (Fernando
Illy) ได้ผลิตเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ขึ้น และในปี ค.ศ.1946 อาคิลลิส กักจา (Achilles Gaggia) ชาวอิตาลีก็ได้พัฒนาเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ให้สมบูรณ์ขึ้น
ในปีเดียวกันนี้ กาแฟ”คาปูชิโน่” อันหมายถึงกาแฟเอสเพรสโซ่ใส่นม
และฟองนมได้ถือกำเนิดขึ้น เชื่อกันว่า
ที่มาของชื่อนี้มาจากฟองนมเหนือกาแฟนั้นคล้ายกับผ้าคลุมศรีษะของพระในนิกายคาปูชิน
นั่นเอง
เพอร์โคเลเตอร์
(Percolator)
 |
Percolator |
วิธีที่อาจจะแปลกสักเล็กน้อยสำหรับคอกาแฟ
คือการชงโดยใช้เพอร์โคเลเตอร์
(Percolator) เพอร์โคเลเตอร์มีลักษณะเหมือนเหยือกเก็บความร้อนทั่วๆ
ไป หลักการชงกาแฟของเพอร์โคเลเตอร์คือเอากาแฟต้มแล้ว มาผ่านกาแฟบด ซ้ำๆ หลายๆ รอบ
ที่บอกว่าแปลกเพราะการชงโดยเพอร์โคเลเตอร์ละเมิดกฏการชงกาแฟที่สำคัญสองข้อคือ
1). การชงกาแฟต้องไม่ดึงรสหรือกลิ่นของกาแฟมากเกินไป
กาแฟบดจึงนำมาต้มหรือชงเพียงรอบเดียวเท่านั้น
ถึงแม้ว่ากากจะเหลือรสกาแฟค้างอยู่ก็ตาม
2). คือ กาแฟต้มแล้วต้องเอามาดื่มเลย ห้ามปล่อยให้เย็น ถ้ากาแฟเย็นลงจะไม่นำมาต้มหรืออุ่นซ้ำ
เพราะรสและกลิ่นจะผิดจากเดิม กฏสองข้อนี้ถือว่าสำคัญสำหรับนักดื่มกาแฟ
และเป็นกฏที่ร้านกาแฟทั่วไปจะทำตามเสมอ
การชงกาแฟโดยเพอร์โคเลตอร์ทำให้ได้กาแฟที่ขมมาก กลิ่นหอมรุนแรง
เพราะรสและกลิ่นน้ำมันหอมจากกาแฟจะถูกสกัดออกมาจนเกลี้ยงกว่าวิธีอื่น
ซึ่งคอกาแฟที่อนุรักษ์นิยมจะไม่ค่อยชอบ
แหล่งที่มา: หนังสือกาแฟเครื่องดื่มจากแดนสรวง
ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต