This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กาแฟมีประโยชน์หรือโทษกันแน่

     เชื่อว่าหลายๆคนคงสงสัยไม่น้อยใช่ไหม..ว่าสรุปแล้ว กาแฟที่ได้กลายเป็นวิถีชีวิตของใครหลายคนในปัจจุบัน สรุป มันมีประโยชน์หรือโทษกันแน่ เพราะด้วยความที่นักวิจัยหลายสถาบันบ้างก็ส่งเสริมถึงคุณประโยชน์ของกาแฟ บ้างก็แย้งกันต่างๆนาๆ ทำเอาผู้ที่ดื่มกาแฟต่างสับสนไปตามๆกัน ว่าตกลงควรดื่มดีไหมหว่า ดังนั้นวันนี้เราจะเอาข้อมูลทั้งคุณและโทษของกาแฟที่เด่นๆมาให้อ่านกันค่ะ


ประโยชน์ของกาแฟ
1.มีฤทธิ์ เป็นยาระบายและยาขับปัสสาวะอย่างอ่อน ๆ
2.กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
3.ทำให้ร่างกายสดชื่น และแก้ง่วงได้เป็นอย่างดี
4.ลดอาการปวดศีรษะข้างเดียว หรือปวดไมเกรน
5.ช่วยระงับอาการซึมเศร้า เซื่องซึมและอ่อนล้าได้
6.เพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย
7.ยับยั้งการแพร่กระจายของมะเร็ง
8.ช่วยลดอาการความดันโลหิตต่ำได้ด้วย
9.กาแฟช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับได้
10.อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
11.นอกจากนี้กาแฟยังมีผลต่อสุขภาพด้านอื่นๆ อีก เช่น ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน นิ่วน้ำดี มะเร็งตับ และช่วยกระตุ้นการทำงานของสมอง


โทษของกาแฟ
1.เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระเพาะได้ เพราะสารในกาแฟจะมีฤทธิ์ช่วยเรียกน้ำย่อยในอาหารมากกว่าปกติ ดังนั้นจึงไม่ควรทานกาแฟในขณะท้องว่างนะค่ะ
2.อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะแบบไมเกรน
3.ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน เพราะกาแฟทำให้การดูดซึมแร่ธาตุ และแคลเซียมในร่างกายน้อยลง ดังนั้นผู้ที่ดื่มุกาแฟมากๆ อาจมีอัตราเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ
4.คาเฟอีนจะแทรกแซงการหลับด้วยคลื่นรบกวนช้าๆ แต่ว่าลึกๆ ซึ่งทำให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
5.คาเฟอีนทำให้อาจมีอาการวิตกกังวล หรือตื่นตกใจได้
6.เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งตับอ่อนได้
7.ทำให้ควาเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะเพิ่มขึ้น
8.การดื่มกาแฟปริมาณมากขณะตั้งครรภ์ ทำให้เด็กมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว (ลูคีเมีย)


ยังมีอีกค่ะ... วิธีการชงกาแฟที่ต่างกันก็มีผลต่อปริมาณสารประกอบต่างๆ ที่ได้รับจากกาแฟ การชงกาแฟโดยไม่ผ่านการกรองจะทำให้ได้รับสารคาเฟสทอล (cafestol) และคาเวออล (kahweol) ซึ่งมีฤทธิ์ทำให้ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น และทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจแม้ว่าข้อมูลเกี่ยวกับกาแฟและสุขภาพหัวใจยังมีความขัดแย้งกันอยู่ แต่สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอเมริกาก็แนะนำว่า การดื่มกาแฟพอประมาณวันละ 1 – 2 แก้วนั้น ไม่น่าจะทำให้เกิดอันตราย

จากข้อมูลต่างๆนี้.....ก็จะเห็นว่าคุณและโทษของกาแฟล้วนมีมากมาย ไม่ได้น้อยน่าไปกว่ากันเลย ไม่เฉพาะกาแฟเท่านั้น อาหารทุกอย่างล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียในตัวมันเอง ดังนั้น ถ้าเราดื่มกาแฟแต่พอดี ไม่มากเกิน ก็จะทำให้เรามีสุขภาพแข็งแรง และมีความสุขจากการดื่มกาแฟได้ค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554

อุปกรณ์ที่จำเป็นในการชงกาแฟ

Steaming Pitcher
                Steaming Pitcher เหยือกสำหรับทำฟองนม ขนาดของเหยือกมีตั้งแต่ 12-60 ออนซ์ ขนาดที่นิยมใช้ คือ 32 ออนซ์ เท่ากับ 1 ลิตร ซึ่งเพียงพอสำหรับทำฟองนมใส่เครื่องดื่ม 2-3 ถ้วย เหยือกที่ดีควรเป็นเหยือกแสตนเลส มีหูจับ และมีขีดกำหนดปริมาตร


Thermometer
                Thermometer เทอร์โมมิเตอร์ใช้สำหรับวัดอุณหภูมิที่เหมาะสมในการทำฟองนมให้ได้ดีที่สุด เพื่อให้มั่นใจว่าเครื่องดื่มนั้น ได้มาตรฐานเท่ากันทุกครั้งทุกถ้วย มีความสม่ำเสมอคงที่ เทอร์โมมิเตอร์ที่ดีต้องมีก้านหนีบสำหรับยึดกับเหยือกฟองนม มีหน้าปัดใหญ่ สามารถแสดงระดับอุณหภูมิชัดเจน มีตัวกำหนดค่าอุณหภูมิอยู่ที่ 0-220 องศาฟาเรนไฮต์ ส่วนอุณหภูมิของฟองนมนั้น เป็นสูตรเฉพาะของแต่ละร้าน


Spoon
                Spoon ช้อนสำหรับตักฟองนมที่จะใส่ลงในแก้วกาแฟ ส่วนการทำเครื่องดื่มลาเต้ จะใช้ช้อนกั้นชั้นกาแฟระหว่างเทฟองนม เพื่อให้นมไหลลงบนน้ำกาแฟในจังหวะที่เหมาะสม
Hand Tamper


                Hand Tamper ใช้สำหรับกดผงกาแฟลงใน Portafilter ในการใช้เครื่องเอสเพรสโซ่ กาแฟเอสเพรสโซ่ที่ดีนั้นจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักของการกดและความละเอียดของผงกาแฟ


Shot Glass
                Shot Glass แก้วชอตใช้สำหรับการรองไหลรินของน้ำกาแฟที่ชงจากเครื่องเอสเพรสโซ่ ควรเป็นแก้วเนื้อบางใส ที่มีขนาดพอดีสำหรับเอสเพรสโซ่ 1 ชอต หรือ 1 ออนซ์ เพื่อให้ได้กาแฟเอสเพรสโซ่ที่พอดี 1 แก้ว หรือใช้ทำกาแฟสูตรอื่นๆ หรือตวงของเหลว


                Shot Time ความสำคัญของนาฬิกาจับเวลา คือการกำหนดเวลาที่น้ำและไอร้อนถูกอัดผ่านกาแฟจนหยดออกมาเป็นเอสเพรสโซ่ 1 ช็อด เวลาที่สมบูรณ์ที่สุดจะอยู่ระหว่าง 18-24 วินาที ต่อผงกาแฟละเอียด 7 กรัม


 Knockbox
                Knockbox เป็นภาชนะสำหรับเคาะกากกาแฟออกจาก Portafilter ควรเป็นภาชนะสแตนเลส และมีแกนกลางที่มียางหนาพอสมควร เพื่อความยืดหยุ่นและสามารถรับแรงกระแทกได้


Filter
                Filter ฟิลเตอร์ หรือกระดาษกรอง ควรใช้ฟิลเตอร์ที่ทำจากกระดาษไม่ฟอกสี โดยสังเกตุที่เนื้อกระดาษมีสีเหลืองนวง หรือเหลืองอ่อน มีความบางแต่เหนียว ไม่ขาดหรือเปื่อยยุ่ยง่าย ไม่ควรเลือกฟิลเตอร์ที่เป็นกระดาษฟอกขาว เนื่องจากจะมีกลิ่นของสารฟอกกระดาษออกปนกับกลิ่นและรสชาติของกาแฟแก้วนั้น ฟิลเตอร์ที่ทำจากกระดาษเนื้อแน่น หรือหนาเกินไปจะกักเอาน้ำมันในเมล็ดกาแฟออกระหว่างการกรอง ทำให้กาแฟแก้วนั้นไม่หอม และไม่ได้รสชาติของกาแฟที่สมบูรณ์
ไม่ควรเก็บฟิลเตอร์ปนกับเครื่องเทศ หรืออาหารที่มีกลิ่นแรงเนื่องจากเนื้อกระดาษจะดูดซับกลิ่นนั้นไว้ ทำให้มีกลิ่นไม่พึงประสงค์เจือในน้ำกาแฟได้ นอกจากฟิลเตอร์แบบกระดาษแล้ว ยังมีฟิลเตอร์แบบตะแกรงทองเหลืองสานละเอียด ซึ่งสามารถถอดล้างทำความสะอาดได้ แต่มีราคาสูง







ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

มารู้จักเครื่องชงกาแฟกันเถอะ (Coffee Machine)

คุณรู้หรือไม่ว่าการจะใช้กาแฟผงที่บดละอียดระดับใดนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องชงที่เราใช้ด้วยค่ะ เครื่องชงกาแฟนั้นมีมากมายให้เราเลือกใช้ตามรสนิยมของการดื่มกาแฟ และฐานะของแต่ละคน
เริ่มต้นด้วยเครื่องไอบริค (Ibrik) อุปกรณ์ชงกาแฟเก่าแก่สไตล์เตอร์กิช เป็นภาชนะทรงกรวยทำจากทองเหลืองหรือทองแดง และด้ามจับยาวมีร่องปากสำหรับรินน้ำกาแฟ บางครั้งก็อาจจะเติมน้ำตาลเข้าไปในหม้อด้วยเพื่อเพิ่มรสหวาน และยังเพิ่มรสและกลิ่นด้วยกระวาน (cardamom) ผลที่ได้คือกาแฟเข้มข้นถ้วยเล็กๆ มีฟองอยู่ข้างบน และกากกาแฟกองหนาเหมือนโคลนอยู่ที่ก้น นิยมใช้ในประเทศแถบอาหรับ ซึ่งยังคงใช้อยู่ในตะวันออกกลาง แอฟริกาเหนือ ตุรกี และกรีซ

French Press
                French Press หรือ Coffee Plunger เป็นแก้วชงแบบใช้ลูกสูบ มีลักษณะเป้นแก้วทรงกระบอกมีก้านโลหะอยู่ตรงกลาง ด้านบนสุดของก้านภายในจะเป็นแผ่นกรอง (Filter) สเตนเลสที่ประกอบติดอยู่กับฝาครอบด้านใน วิธีชงให้ได้รสชาติของกาแฟสดแท้ๆ ต้องใช้กาแฟแบบบดหยาบมากๆ วิธีชงก็ง่ายเพียงเลือกกาแฟที่ต้องการใส่ลงในแก้วชง เทน้ำร้อนใส่จนท่วมทิ้งไว้ 4 นาที จึงกดลูกสูบลงเพื่อดันกากกาแฟให้ไปอยู่ก้นแก้วจะได้น้ำกาแฟสดที่มีกลิ่นหอม จากนั้นสามารถรินกาแฟเติมนม ครีม หรือน้ำตาลตามชอบ
เป็นที่นิยมของคอกาแฟส่วนใหญ่ เพราะใช้งานง่าย ไม่เปลืองไฟฟ้า แต่มีข้อด้อย คือมักจะมีกากกาแฟเล็ดลอดออกมาผสม ทำให้ความสุนทรีในขณะที่จิบกาแฟนั้นลดลงบ้าง

Drip Coffee Maker
                Drip Coffee Maker เป็นเครื่องชงกาแฟแบบหยด หรือแบบกรอง ใช้หลักการให้น้ำร้อนผ่านผงกาแฟคั่วที่บดละเอียดปานกลางใส่ในกระดาษกรอง ใช้ควมร้อนของน้ำที่อุณหูมิประมาณ 90-220 องศาฟาเรนไฮต์ กลั่นน้ำกาแฟออกมา
ที่สำคัญ คือ Drip Coffee Maker เป็นเครื่องชงกาแฟแบบหยดที่ใช้สะดวก ง่าย และเหมาะสำหรับใช้ภายในบ้าน

วิธีนี้เป็นวิธีที่ร้านกาแฟนิยมใช้มากที่สุด เครื่องชงกาแฟแบบนี้มักมาพร้อมกับที่อุ่นนมและทำฟองนม ข้อดีคือถ่ายทอดรสชาติและจุดเด่นของกาแฟได้ดี
ในปีค..1904 แฟร์นันโด อิลลี (Fernando Illy) ได้ผลิตเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ขึ้น และในปี ค..1946 อาคิลลิส กักจา (Achilles Gaggia) ชาวอิตาลีก็ได้พัฒนาเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ให้สมบูรณ์ขึ้น ในปีเดียวกันนี้ กาแฟคาปูชิโน่อันหมายถึงกาแฟเอสเพรสโซ่ใส่นม และฟองนมได้ถือกำเนิดขึ้น เชื่อกันว่า ที่มาของชื่อนี้มาจากฟองนมเหนือกาแฟนั้นคล้ายกับผ้าคลุมศรีษะของพระในนิกายคาปูชิน นั่นเอง



Espresso Machine เครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่จะใช้น้ำร้อนที่มีแรงดันไอน้ำในหม้อต้ม (Boiler) อัดกาแฟบดละเอียดในถ้วยกรองกาแฟ หรือ Portafilter ก็จะได้หัวกาแฟเข้มข้นออกมาที่ Espresso Shot ซึ่งจะทำให้ได้กาแฟเอสเพรสโซ่สีทองที่ส่งกลิ่นหอมไปทั่วร้าน ครื่องชงแบบนี้มีราคาแพงตั้งแต่หลักหมื่นขึ้นไปจนถึงหลายๆ แสนเลยทีเดียว และมีให้เลือกหลายขนาด เครื่องเอสเพรสโซ่ขนาดเล็กที่สุดจะให้เอสเพรสโซ่ 2 แก้วช็อด โดย 1แก้วช็อดให้กาแฟ 1 ออนซ์(30 ml)
วิธีนี้เป็นวิธีที่ร้านกาแฟนิยมใช้มากที่สุด เครื่องชงกาแฟแบบนี้มักมาพร้อมกับที่อุ่นนมและทำฟองนม ข้อดีคือถ่ายทอดรสชาติและจุดเด่นของกาแฟได้ดี
ในปีค..1904 แฟร์นันโด อิลลี (Fernando Illy) ได้ผลิตเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ขึ้น และในปี ค..1946 อาคิลลิส กักจา (Achilles Gaggia) ชาวอิตาลีก็ได้พัฒนาเครื่องชงกาแฟเอสเพรสโซ่ให้สมบูรณ์ขึ้น ในปีเดียวกันนี้ กาแฟคาปูชิโน่อันหมายถึงกาแฟเอสเพรสโซ่ใส่นม และฟองนมได้ถือกำเนิดขึ้น เชื่อกันว่า ที่มาของชื่อนี้มาจากฟองนมเหนือกาแฟนั้นคล้ายกับผ้าคลุมศรีษะของพระในนิกายคาปูชิน นั่นเอง

เพอร์โคเลเตอร์ (Percolator) 
Percolator
วิธีที่อาจจะแปลกสักเล็กน้อยสำหรับคอกาแฟ คือการชงโดยใช้เพอร์โคเลเตอร์ (Percolator) เพอร์โคเลเตอร์มีลักษณะเหมือนเหยือกเก็บความร้อนทั่วๆ ไป หลักการชงกาแฟของเพอร์โคเลเตอร์คือเอากาแฟต้มแล้ว มาผ่านกาแฟบด ซ้ำๆ หลายๆ รอบ ที่บอกว่าแปลกเพราะการชงโดยเพอร์โคเลเตอร์ละเมิดกฏการชงกาแฟที่สำคัญสองข้อคือ
          1). การชงกาแฟต้องไม่ดึงรสหรือกลิ่นของกาแฟมากเกินไป กาแฟบดจึงนำมาต้มหรือชงเพียงรอบเดียวเท่านั้น ถึงแม้ว่ากากจะเหลือรสกาแฟค้างอยู่ก็ตาม
          2). คือ กาแฟต้มแล้วต้องเอามาดื่มเลย ห้ามปล่อยให้เย็น ถ้ากาแฟเย็นลงจะไม่นำมาต้มหรืออุ่นซ้ำ เพราะรสและกลิ่นจะผิดจากเดิม กฏสองข้อนี้ถือว่าสำคัญสำหรับนักดื่มกาแฟ และเป็นกฏที่ร้านกาแฟทั่วไปจะทำตามเสมอ 
          การชงกาแฟโดยเพอร์โคเลตอร์ทำให้ได้กาแฟที่ขมมาก กลิ่นหอมรุนแรง เพราะรสและกลิ่นน้ำมันหอมจากกาแฟจะถูกสกัดออกมาจนเกลี้ยงกว่าวิธีอื่น ซึ่งคอกาแฟที่อนุรักษ์นิยมจะไม่ค่อยชอบ


แหล่งที่มา: หนังสือกาแฟเครื่องดื่มจากแดนสรวง
ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

เทคนิคการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟคั่ว

วิธีการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟคั่วต้องดูว่าเครื่องชงที่มีอยู่นั้นเป็นแบบใด หากมีเครื่อง Espresso Machine ก็ควรซื้อเมล็ดกาแฟที่มีฉลากระบุว่า เอสเพรสโซ่ (Espresso) เพราะจะได้เมล็ดกาแฟที่คั่วนาน มีสีเข้ม ให้รสชาติขมอมหวาน และมีกลิ่นหอม ซึ่งส่วนมากจะเป็นเมล็ดพันธุ์อาราบิก้าและควรเลือกกาแฟที่บดแบบละเอียดเท่านั้น แต่ถ้ามีเครื่องแบบ French Press หรือ Drip Coffee Maker ต้องเลือกซื้อเมล็ดกาแฟคั่วระดับปานกลางถึงเข้ม และใช้กาแฟผงที่บดแบบหยาบ




        หากต้องการซื้อกาแฟคั่วบรรจุผงสำเร็จควรเลือกเมล็ดกาแฟที่บรรจุในถุงฟอยล์ที่ปิดสนิท และถ้าจะให้ดีจริงๆต้องมีวาล์วระบายอากาศ หรือ One Way Valve ที่กลางถุง เนื่องจากเมล็ดกาแฟเมื่อเก็บไว้สักระยะหนึ่งจะเกิดก็าซขึ้นตามธรรมชาติจึงต้องมีที่ระบายก็าซออก (ด้วยการกดถุงเบาๆ บริเวณ One Way Vale) แต่ในขณะเดียวกันก็ป้องกันไม่ให้อากาศจากภายนอกเข้ามาในถุงได้



        ควรดูข้อความที่ระบุรายละเอียดที่ข้างถุง ซึ่งบ่งบอกได้ถึงคุณภาพของกาแฟนั้นๆ เช่นพันธุ์กาแฟ ชนิดของกาแฟ ว่าเป็นแบบปกติ หรือไร้สารคาเฟอีน หรือเป็นกาแฟผสมกลิ่น หรือรสพิเศษ เช่น มอคค่า อัลมอนด์ วานิลลา เป็นต้น

    ควรดูประเภทของการคั่ว วันที่คั่ว วันที่บรรจุน้ำหนัก และปริมาณ รวมทั้งพิจารณาการบรรจุว่าเป็นแบบสุญญากาศ ถุงหรือบรรจุภัณฑ์ต้องไม่ชำรุด ฉีกขาด หรือบุบ

    ควรซื้อกาแฟคั่วสำเร็จในปริมาณที่พอใช้ใน 1 สัปดาห์ และดมดูก่อนว่ากาแฟในถุงนั้นยังคงมีกลิ่นหอมหรือไม่ จากนั้นสังเกตุดูว่า นอกจากกลิ่นของกาแฟแล้วมีกลิ่นอื่นปนอยู่ในกลิ่นของกาแฟหรือไม่

    คุณไม่ควรซื้อกาแฟคั่วบดจากตามซูเปอร์มาเก็ต เนื่องจากจะมีกลิ่นของอาหารอื่นๆ ปนอยู่ด้วย หากเป็นไปได้ คุณควรซื้อเมล็ดกาแฟคั่วมาบดเองและบดที่จะชงเฉพาะที่จะดื่ม หรือบดไว้เพียงวันต่อวัน หรือเก็บไว้ 2-3 วัน เท่านั้น เพราะกาแฟคั่วที่บดทิ้งไว้นานเกินไปจะสูญเสียรสชาติและกลิ่น

    ไม่จำเป็นต้องเก็บกาแฟเข้าตู้เย็น เพราะจะเป็นการทำลายมวลรวมของเมล็ดกาแฟจากความเย็น และความชื้นในตู้เย็น ควรเก็บกาแฟไว้ในที่ร่มแห้ง เย็น ไม่ควรมีแสงสว่าง สารเคมี หรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรงๆ เพราะกาแฟมีคุณสมบัติเป็นตัวดูดซับกลิ่น 

ปัจจุบัน  โรงงานบางแห่งนิยมบรรจุเมล็ดกาแฟดิบไว้ในถุงพลาสติกสุญญากาศ และเก็บไว้ในอุณหภูมิ 15 องศาเซลเซียส ที่ความชื้น 41% ซึ่งสามารถยืดอายุกาแฟดิบได้นานประมาณ 3 ปี






ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

การเก็บรักษาเมล็ดกาแฟคั่วให้สดนาน


วันนี้ เราจะมาแนะนำเทคนิคง่ายๆ สำหรับการเก็บรักษาเมล็ดกาแฟให้สดนาน ที่ใครๆ ก็ทำได้ค่ะ กาแฟคั่วแล้ว ไม่ว่าคั่วอ่อนหรือเข้ม ก็จัดว่าเป็นสินค้าที่เสื่อมสภาพได้ง่าย ความเข้าใจและความตระหนักว่ากาแฟเป็นสินค้าที่เปราะบางและง่ายต่อการเสื่อมคุณภาพจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการรักษาคุณภาพของกลิ่นอันหอมของเมล็ดกาแฟและรวมถึงคุณภาพเครื่องดื่ม เริ่มต้นที่การเก็บรักษากาแฟในสถานที่เหมาะสมจะช่วยให้กาแฟไม่เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควรนะค่ะ




ข้อแนะนำในการเก็บรักษากาแฟคั่วสำเร็จ

1.       เก็บเมล็ดกาแฟกลับคืนหีบห่อเดิม จากนั้นไล่อากาศออกจากถุงให้หมด

2.       เก็บในภาชนะทึบ และปิดสนิทที่สามารถป้องกันแสงแดด อากาศ และความชื้นได้เป็นอย่างดี เช่น กระปุกเซรามิกแบบฝามีซิลยาง เป็นต้น

3.       ปิดปากถุงให้แน่น (โดยให้พับปากถุงหลายๆ ชั้นยิ่งดี) ด้วยเทปกาว หรือมัดด้วยยางให้แน่นหนา และนำทั้งถุงใส่ในขวดโหลสุญญากาศ ดังที่กล่าวมาแล้ว ถ้าเป็นโหลที่ทำจากวัสดุประเภทเซรามิกส์จะดีมากค่ะ

4.       ควรเก็บกาแฟบดและเมล็ดกาแฟไว้ในที่แห้ง และเย็น (แต่ไม่ใช่เก็บไว้ในตู้เย็น) ไม่ควรมีแสงสว่าง หรือเครื่องเทศ เนื่องจากกาแฟมีคุณสมบัติดูดกลิ่นได้ดีค่ะ หรือถ้าถุงหีบห่อหรือบรรจุภัณฑ์มีความแน่นหนาพอป้องกันกลิ่น และความชื้นได้จะเลือกเก็บในตู้เย็นก็ได้ค่ะ

5.       ใช้เสร็จทุกครั้งต้องปิดภาชนะในทันที

6.       ถ้ามีเครื่องบดให้บดเท่าที่ต้องใช้ครั้งต่อครั้ง บดแล้วใช้ให้หมดในคราวเดียว เพราะกาแฟที่บดแล้วจะสูญเสียกลิ่นและรสชาติได้ไวกว่ากาแฟที่เป็นเมล็ด 

7.       ถ้าไม่มีเครื่องบดและสั่งซื้อกาแฟบดแล้ว ให้ระมัดระวังในการเก็บรักษาโดยเฉพาะการเปิดและปิด ภาชนะ เพื่อรักษาคุณภาพไว้ให้นานที่สุด




แหล่งที่มา: preda-roastinghouse
ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

ศิลปะการชงกาแฟ

     นอกจากจะต้องให้ความสำคัญในเรื่องสัดส่วนของส่วนผสมในกาแฟแต่ละถ้วย แต่ละสูตรแล้ว ก็ยังมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อีกมากที่อาจส่งผลให้กาแฟถ้วยโปรดมีรสชาติผิดเพี้ยนได้ จึงถือได้ว่าการชงกาแฟนั้นต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ในการชง ต้องใส่ใจในทุกๆ ส่วนรายละเอียด เพื่อให้ได้กาแฟที่มีรสชาติดี กลมกล่อม




Tips เล็กๆ น้อยๆ ของการชงกาแฟ
  •   ต้องดูแลเครื่องชงประเภทต่างๆ ให้สะอาดอยู่เสมอ ระวังไม่ให้อบ หรืออับด้วยกลิ่นแปลกปลอมต่างๆ แม้กระทั่งกลิ่นอับของความชื้น หรือการเก่าเก็บ (เพราะกลิ่นเหล่านี้จะสร้างปัญหาให้กาแฟถ้วยต่อไปของคุณได้ค่ะ)


  •   ต้องศึกษาเครื่องชงแต่ละชนิดว่าใช้กาแฟบดชนิดใด และใช้เวลาชงเท่าใด


  •   ควรใส่ปริมาณผงกาแฟเท่าเดิมเสมอทุกครั้ง โดยส่วนใหญ่ผงกาแฟที่ใส่แต่ละครั้งก็จะอประมาณ 7-10 กรัม ในตะแกรงชงแบบ 1 ช็อต ส่วน 14-18 กรัม ในตะแกรงแบบ 2 ช็อต ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับ ยี่ห้อเครื่อง รุ่นเครื่องด้วย เพราะว่าการออกแบบของตะแกรงช็อตของแต่ละยี่ห้อนั้นมันไม่เหมือนกัน จึงมีปริมาณการใส่ที่เหมาะสมแตกต่างกันออกไปด้วยค่ะ


  • *กาแฟที่บดละเอียดจนเกินไป  จะใช้เวลาชงมากกว่าปกติ และทำให้กาแฟมีรสชาดขม  ส่วนกาแฟที่บดหยาบเกินไป  จะใช้เวลาชงน้อยกว่าปกติ  ทำให้กาแฟที่ได้มีรสชาดเจือจาง ทั้งนี้เพราะน้ำที่ใช้ชงกาแฟมีโอกาสดูดซับและสัมผัสกาแฟต่างกัน รสชาดกาแฟที่ได้จึง



  •    ต้องใช้เมล็ดกาแฟคั่วที่บดใหม่ๆ ซึ่งจะทำให้กาแฟถ้วยนั้นของคุณมีกลิ่นหอมชวนดื่มมากเป็นพิเศษและห้ามนำกาแฟที่ผ่านการชงแล้วกลับมาชงใหม่เป็นอันขาด

  •     ระยะเวลาในการสกัดน้ำกาแฟออกมา ซึ่งเวลาที่เหมาะสมที่ใช้ในการสกัดน้ำกาแฟ (กดปุ่มชงพร้อมกับจับเวลา)ที่เราต้องทำให้ได้ก็คือ 20-30 วินาที ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเครื่องชงกาแฟของแต่ละรุ่น ความต้องการของแต่ละบุคคล  ปริมาณผงกาแฟ อุณหภูมิน้ำที่ใช้ด้วยค่ะ

  •    อุณหภูมิของน้ำที่เหมาะสมและดีที่สุดในการชงกาแฟแต่ละครั้งจะอยู่ที่ 94 องศาเซลเซียส

  • ปริมาณน้ำที่ออกมาในแต่ละครั้งที่เราชงกาแฟมีความเหมาะสม คือ โดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นตะแกรง 1 ช็อต เราก็จะสกัดน้ำกาแฟออกมาให้ได้ปริมาณประมาณ 1 ออนซ์ แต่ถ้าเป็นตะแกรง 2 ช็อต น้ำกาแฟที่สกัดออกมาก็จะได้ประมาณ 2 ออนซ์ที่รวมมากับครีม่าแล้วนะค่ะ ซึ่งปริมาณอันนี้เป็นการบอกคร่าวๆนะคะ ทั้งนี้ต้องดูควบคู่กับเรื่องเวลาในการสกัดน้ำกาแฟออกมาด้วยค่ะ


  • ภาชนะหรือถ้วยที่ชงกาแฟต้องสะอาดไม่มีฝุ่นละอองจับหรือสกปรกและต้องไม่เป็นถ้วยเก่าเก็บ


  • น้ำที่นำมาชงกาแฟควรใช้น้ำสะอาดหรือน้ำดื่ม ปราศจากคลอรีน กลิ่นและสี และหากไม่ชอบกาแฟที่มีรสชาติแปร่งๆ ก็ไม่ควรใช้น้ำแร่ หรือน้ำประปา


  • เพื่อเป็นการเพิ่มรสชาดที่แตกต่างของกาแฟ อาจเติมน้ำตาล คาราเมล นม เป็นต้น

         อ้อ..หลังจากที่ชงกาแฟเสร็จแล้ว ควรดื่มกาแฟขณะที่มันร้อนอยู่หรือภายใน 20 นาทีนะค่ะ เนื่องจากกาแฟที่ไม่ปรุงรสเมื่อตั้งทิ้งไว้นาน 20 นาที กลิ่นของมันจะจางหาย


สุดท้าย อย่างไรเสียที่กล่าวมาทั้งหมดก็คงต้องลองไปทำกันดูนะค่ะ แต่ขอเน้นย้ำอีกนิดนะค่ะว่า..สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญในการชงกาแฟเป็นเบื้องต้นเลยก็คือ เวลาในการสกัด ปริมาณน้ำกาแฟที่ออกมา ใส่ผงกาแฟเท่าเดิมเสมอ แรงกดเท่าเดิมเสมอ แล้วก็ดูว่าเวลาเราได้มั๊ย ถ้าเวลายังไม่ได้ แต่ถ้าเราแน่ใจว่าขั้นตอนที่กล่าวมาทั้งหมดควบคุมมันได้แล้ว ก็มาปรับความละเอียดที่เครื่องบดกาแฟเพิ่มให้เวลามันได้ค่ะ






แหล่งที่่มา:bluekoff
ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

กาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee



        ปัจจุบันกาแฟออร์แกนิกเป็นที่นิยมในตลาดโลก เนื่องจากกระแสของการห่วงใยสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่ก็ยังผลิตได้ในปริมาณไม่มากนัก โดยส่วนใหญ่เกษตรกรจะกันพื้นที่ส่วนหนึ่งในไร่สำหรับทำไร่กาแฟออร์แกนิก ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้กาแฟออร์แกนิกมีราคาที่ค่อนข้างสูงค่ะ

กาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee เป็นกาแฟคั่วบดหรือกาแฟสดที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีตั้งแต่ขั้นตอนการเพาะปลูก ไร่กาแฟออร์แกนิกจะได้รับการใส่ใจเป็นพิเศษ โดยไม่ใช้สารเคมี หรือยาฆ่าแมลงเลย ไม่ผ่านการตัดแต่งพันธุกรรม  หรือการฆ่าเชื้อโรคด้วยการฉายรังสี เป็นกาแฟที่ปลูกบนพื้นดินที่ไม่มีการใส่ปุ๋ยเคมี  การรักษาสภาพดินทำโดยเปลี่ยนชนิดพืชที่ปลูก หรือปลูกพืชคลุมดิน หรือการใช้ปุ๋ยจากพืชและสัตว์  การกำจัดศัตรูพืชใช้กรรมวิธีทางธรรมชาติหรือางชีวภาพ ไม่ใช้สารเคมีใด ๆ  แม้แต่สารเร่งการเจริญเติบโตของพืช  ผลผลิตที่ได้เป็นผลผลิตที่เติบโตตามธรรมชาติ  จึงมีรสชาติและคุณค่าครบถ้วนค่ะ ด้วยเหตุนี้กาแฟอินทรีย์จึงทำให้ผู้ดื่มมั่นใจได้ว่าปลอดภัย ไม่มีสารตกค้างที่เป็นอัตรายต่อสุขภาพ  และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยค่ะ

 ในปัจจุบัน สมาพันธ์เกษตรอินทรีย์นานาชาติ หรือ IFOAM (International Federation of Organic Agricultural Movements) ถือเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำหนดเกณฑ์มาตรฐานสำหรับตรวจสอบรับรองเกษตรอินทรีย์ซึ่งเป็นที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ ผลผลิตที่ผ่านมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ จะต้องมีขั้นตอนการผลิตดังนี้
  - พื้นที่เพาะปลูกต้องไม่เคยมีการทำเกษตรเคมีมาไม่น้อยกว่า 3 ปี
  - ไม่มีการใช้ปุ๋ยเคมี และ เน้นการใช้สารอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เป็นต้น
  - ไม่ใช้สารสังเคราะห์ป้องกันหรือกำจัด สัตว์และแมลงที่เป็นศัตรูพืช
  - ไม่ใช้สารเคมีกำจัดวัชพืช
  - ไม่ใช้ฮอร์โมนกระตุ้นความเจริญเติบโตของพืช 

ทั้งนี้ จุดเด่นของกาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee คือ
  - มีการกำหนดมาตรฐานและทำการตรวจสอบทั้งสภาพแวดล้อมและการบำรุงรักษาต้นกาแฟไม่ให้มีการ
    ใช้สารเคมีทำให้ผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าจะไม่มีสารเคมีปนเปื้อนหรือตกค้างมากับกาแฟ
  - Organic Coffee จัดอยู่ในกลุ่มสินค้า Premium เนื่องจากผลผลิตที่ได้มีคุณภาพสูงแต่มีปริมาณน้อย
  - Organic Coffee ได้การรับรองว่ามีรสชาติดีกว่ากาแฟที่ปลูกโดยใช้สารเคมี ขณะที่มีราคาขาย
    ใกล้เคียงกัน หรือสูงกว่าเล็กน้อย 

ด้านการเพาะปลูกและการดูแลรักษากาแฟอินทรีย์ หรือ Organic Coffee
  - ต้องปลูกในพื้นที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,200 เมตร
  - ได้รับน้ำในปริมาณที่พอเพียงจากน้ำฝนที่ตกตามฤดูกาลเฉลี่ย 2,000 มิลลิเมตรต่อปี
     รวมถึงการได้รับน้ำจากแม่น้ำ ลำธารตามธรรมชาติ
  - อุณหภูมิเฉลี่ยต่อปีประมาณ 15-25 องศาเซลเซียส
  - ปลูกโดยการเว้นระยะห่างระหว่างต้นที่สม่ำเสมอ เพื่อให้ต้นกาแฟแต่ละต้นได้รับสารอาหารที่
    เพียงพอต่อการให้ผลผลิตที่ดี ซึ่งจะจำกัดปริมาณไว้ที่ 400 ต้นต่อพื้นที่ 1 ไร่
  - การดูแลรักษาจะไม่ใช้ปุ๋ยเคมีทุกชนิดแต่จะใช้ปุ๋ยธรรมชาติจากมูลสัตว์
  - หากเกิดโรคหรือถูกแมลงศัตรูพืชทำลายจะทำการตัดส่วนนั้นทิ้งแทนการฉีดสารเคมี


แหล่งข้อมูล : coffeearte.weebly
ขอบคุณรูปภาพจาก:chiangmaicoffee และ chun-coffee
                      

ลักษณะของเมล็ดกาแฟคั่วที่ควรรู้

        การคั่วเมล็ดกาแฟ ถือว่าเป็นห้วใจสำคัญที่เป็นขั้นตอนแรกในการปรุงรสกาแฟ เนื่องจากเมล็ดกาแฟจะมีลักษณะเล็ก แข็ง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรสชาติ การคั่วจะเป็นขั้นตอนที่เผยเสน่ห์แห่งกลิ่นและรสออกมา ความร้อนจากการคั่วจะมีผลต่อน้ำมัน แป้ง โปรตีน และสารเคมีที่อยู่ในเมล็ดกาแฟออกมา ด้วยเหตุนี้ความแตกต่างของสายพันธุ์กาแฟ และระยะเวลาการคั่ว ล้สนเป็นส่วนที่กำหนดให้กาแฟมีกลิ่น และรสที่แตกต่างกัน
เราสามารถสามารถเลือกซื้อเมล็ดกาแฟคั่วสำเร็จ เพื่อนำมาปรุงเป็นกาแฟสูตรต่างๆ ได้ด้วยตนเอง และเราสามารถรับรู้รสชาติของกาแฟแต่ละถ้วยได้จากสีของเมล็ดกาแฟคั่ว ซึ่งแตกต่างกันตามระยะเวลาและระดับอุณหภูมิของการคั่วกาแฟที่เป็นมาตรฐานสากล


Light Roast เป็นการคั่วแบบอ่อนที่สุด ใช้เวลาน้อย 5-10 นาที ที่อุณหภูมิประมาณ 400 องศาฟาเรนไฮต์ กาแฟที่คั่วแบบนี้จะมีสีเหลืองนวลออกเข้มจนถึงสีเหลือง การคั่วในระยะนี้จะทำให้เมล็ดกาแฟยังมีรสเปรี้ยว (Acidity) อยู่มาก กาแฟที่นิยมคั่วแบบนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ คือ Half City Roast, New England Roast, Cinnamon Roast

Medium Roast การคั่วแบบปานกลางใช้เวลาประมาณ 11-15 นาที ที่อุณหภูมิประมาณ 400-450 องศาฟาเรนไฮต์ เมล็ดกาแฟจะมีสีเหลืองเข้มจนถึงสีน้ำตาลอ่อน ให้รสหวานเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมีรสป้ยวนำอยู่
การคั่วในระยะนี้มีชื่อเรียกหลายอย่าง เช่น Regular Roast, Brown Roast, City Roast

Viennese Roast การคั่วแบบเข้มระหว่างนาทีที่ 14-16 ที่อุณหภูมิประมาณ 450 องศาฟาเรนไฮต์ ระยะนี้ผิวของเมล็ดกาแฟจะมีน้ำมันออกมาเคลือบเล็กน้อย
การคั่วในระยะนี้มีชื่อเรียกหลายชื่อ คือFull City, หรือ Light French

Dark Brown หรือ Dark Roast ใช้เวลาประมาณ 16-18 นาที ที่อุณหภูมิประมาณ 400-480 องศาฟาเราไฮต์ เมล็ดจะมีสีน้ำตาลเข้มและมีน้ำมันจากภายในเมล็ดออกมาเคลือบมากขึ้น
เรียกการคั่วระยะนี้ว่า French Roast, Deep brown หรือ Cuban Roast

Continental การคั่วแบบนี้เป็นที่นิยมเหมาะแก่การนำไปชงเป้นกาแฟเอสเพรสโซ่ คนคั่งกาแฟต้องใช้ความสามารถและความชำนาญเป็นพิเศษ ระยะเวลาคั่วประมาณ 17-19 นาที เมล็ดกาแฟจะให้กลิ่นหอมจัด ปนกลิ่นไหม้จางๆอันเป็นเสน่ห์ของกาแฟ มีสีน้ำตาลำหม้ถึงสีดำ และจะมีน้ำมันซึมเยิ้มออกมาเคลือบเมล็ดจนเป็นมันวาว กาแฟคั่วแบบ Continental นี้มีรสชาติเข้มข้นมาก
นอกจากนี้ บางครั้งเรียกการคั่วระยะนี้ว่า Double Roast, High Roast, Espresso บ้างก็เรียกว่า การคั่วแบบ Italian



แหล่งที่มา: หนังสือกาแฟ เครื่องดื่มจากแดนสรวง
ขอขอบคุณ

เอสเพรสโซ่

         กาแฟที่ได้รับการยอมรับจากคอกาแฟทั่วโลก ถึงความดื่มต่ำล้ำลึกในกลิ่นรส คงเป็นอื่นใดเสียมิได้ นั่นก็คือเอสเพรสโซ่ แต่ถ้าถามคอกาแฟก็คงจะเป็นที่รู้จักกันดี แต่ถ้าถามคนทั่วไปที่ดื่มกาแฟบ้างเป็นครั้งคราว..ไม่ได้ชื่นชอบกาแฟเป็นชีวิตจิตใจ..ก็คงจะตอบยากหน่อย  แต่ถึงอย่างไรกาแฟเอสเพรสโซก็ยังเป็นกาแฟที่เป็นส่วนผสมสำคัญของกาแฟอื่นๆด้วยนะค่ะ ดังนั้นวันนี้เราจะพาคุณมารู้จักกันค่ะว่า..กาแฟเอสเพรสโซ่คืออะไร



เอสเพรสโซ่ เป็นกาแฟที่มีรสชาดเข้มข้นที่สุดก็ว่าได้ คำว่าเอสเพรสโซ่ มาจากภาษาอิตาลี ที่แปลว่า เร่งด่วน เอสเพรสโซเป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะประเทศอิตาลีและฝรั่งเศส การสั่งกาแฟ "caffe" ในร้าน ส่วนใหญ่แล้วจะสั่งเป็นกาแฟเอสเพรสโซ่กันค่ะ
                เอสเพรสโซ่ที่ดีนั้นต้องกรุ่นกลิ่นหอมแต่ไกลมีสีน้ำตาลเข้มปราศจากตะกอน มีฟองครีมนุ่มลิ้นของกาแฟที่ผ่านการสกัดจาก Espresso Machine ประดับอยู่ที่ขอบแก้ว และมีรสชาติกลมกล่อมที่รู้สึกได้ตั้งแต่น้ำกาแฟไหลผ่านปลายลิ้นลงสู่ลำคอ ด้วยรสชาติชาติเข้มข้นและหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้เอง ทำให้คอกาแฟดื่มเอสเปรสโซโดยไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม และมักจะเสิร์ฟเป็นชอต (แก้วแบบจอก) เพื่อให้ปริมาณไม่มากจนเกินไป (ประมาณ 1-2 ออนซ์ หรือ 30-60มิลลิลิตร แตกต่างตาม พฤติกรรมการดื่ม ของแต่ละประเทศ) การสั่งเอสเปรสโซตามร้านกาแฟทั่วไป มักสั่งตามปริมาณเป็น "ซิงเกิ้ล" หรือ "ดับเบิ้ล" (ชอตเดียว หรือ สองชอต) เอสเปรสโซมีความไวสูงในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน เพื่อไม่ให้เสียรสชาติจึงควรดื่มตอนชงเสร็จใหม่ ๆ)
                เอสเพรสโซ่ใช้กาแฟพันธุ์อาราบิก้าที่ให้รสละมุนนุ่มนวลหรืออาจผสมกับกาแฟโรบัสต้าเล็กน้อยๆ เพื่อให้ได้รสเข้มข้น

·        การดื่มเอสเพรสโซ่ 1 ชอต ต้องดื่มให้หมดภายในเวลา 10 นาที ด้วยการดื่มแบบซดเพื่อให้ลมเข้าไประบายความร้อนของน้ำกาแฟ
·        Espresso ที่ดีเวลาเสิร์ฟต้องร้อน มีฟองสีทองปกคลุมทั่วทั้งแก้ว มีกลิ่นหอมรุนแรง ที่สำคัญไม่มีแบบเย็น
·        เอสเปรสโซ่จะถูกเสริฟในแก้ว ขนาดเล็ก ปริมาณเพียง 1-2 ออนซ์ เท่านั้น ถ้านอกจากนี้ไม่ใช่แล้ว
·        การดื่มแบบอิตาเลี่ยนแท้ๆต้องดื่มทันทีที่เสริฟ และดื่มให้หมดภายในชอตเดียว ไม่ต้องเติมน้ำตาล หรือนม
·         เมื่อน้ำกาแฟเข้าปากแล้วอย่าเพิ่งกลืน ให้อมไว้ในกระพุ้งแก้มก่อนสักครู่ แล้วค่อยๆกลืนลงท้อง
·        กลิ่นกาแฟและรสชาติจะคงอยู่ในปาก ประมาณ30นาที
·        หลังจากนั้นควรล้างปากด้วยน้ำเปล่า หรือน้ำชา ดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ของกาแฟ
·        สำหรับผู้ที่เริ่มดื่ม อาจจะผสมน้ำตาลไป 1 ช้อนโต๊ะแล้วค่อยๆจิบก็ได้
·        รสชาติจริงๆ จะขมนำ แต่หวานชุ่มคอ ภายหลัง เหมือนรสคาราเมล


ประเภทของเครื่องดื่มกาแฟ (Coffee drink)

     คุณเคยไหมค่ะ.. ที่เวลาเดินเข้าร้านกาแฟ จะสั่งกาแฟดื่ม..แต่ไม่รู้ว่าจะสั่งกาแฟอะไรดี!! เพราะเกิดอาการเงอะงะหรือไม่รู้ว่าสูตรกาแฟต่างๆที่อยู่บนป้ายตามร้านกาแฟนั้น แต่ละสูตรเป็นอย่างไร..สั่งมาแล้วจะอร่อยไหม??
     ดังนั้น วันนี้เรามาทำความรู้จักกันนะค่ะ ว่าประเภทของกาแฟต่างๆ มีส่วนผสมอะไรบ้าง รสชาด และมีความแตกต่างกันตรงไหน คราวนี้ทุกครั้งที่คุณสั่งกาแฟถ้วยใหม่มาดื่ม คุณจะได้สามารถตัดสินใจได้ว่า อยากจะดื่มกาแฟอะไรที่อร่อย ถูกคอ ถูกปากของคุณยังไงล่ะค่ะ

เพิ่มคำอธิบายภาพ
เอสเพรสโซ (Espresso) พูดง่ายๆก็คือ กาแฟเพียวๆ นั่นเองค่ะ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นกาแฟที่มีรสชาดเข้มข้นที่สุดก็ว่าได้ คำว่าเอสเพรสโซ่ มาจากภาษาอิตาลี ที่แปลว่า เร่งด่วน เอสเพรสโซเป็นกาแฟที่นิยมมากที่สุดในแถบประเทศยุโรปตอนใต้ โดยเฉพาะประเทศอิตาลีและฝรั่งเศส การสั่งกาแฟ "caffe" ในร้าน ส่วนใหญ่แล้วจะสั่งเป็นกาแฟเอสเพรสโซ่กันค่ะ
     ด้วยวิธีการชงแบบใช้แรงอัดทำให้เอสเปรสโซมีรสชาติกาแฟซึ่งเข้มข้นและหนักแน่น ต่างจากกาแฟทั่ว ๆ ไปซึ่งชงแบบผ่านน้ำหยด และเพราะรสชาติเข้มข้นและหนักแน่นอันเป็นเอกลักษณ์นี้เอง ทำให้คอกาแฟดื่มเอสเปรสโซโดยไม่ปรุงด้วยน้ำตาลหรือนม
     Tips เล็กๆ น้อยๆ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบเอสเพรสโซ่ ต้องดื่มในขณะที่ชงเสร็จใหม่ เนื่องจากเอสเพรสโซ่มีความไวสูงในการทำปฏิกิริยากับออกซิเจน ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียรสชาดของเอสเพรสโซ่ที่แท้จริงก็ควรดื่มขณะที่ชงเสร็จใหม่ๆ ค่ะ



อเมริกาโน หรือ คาเฟ่ อเมริกาโน (café Americano) มีต้นกำเนิดมาจาก America ว่ากันว่าเอสเพรสโซ่เพรียวๆนั้น เข้มข้นเกินไปสำหรับคอกาแฟชาวอเมริกา ดังนั้นจึงมีการปรับปรุงสูตรได้เป็นกาแฟอเมริกาโนที่เป็นการเอา Espresso ที่เข้มข้นมาผสมน้ำให้มันจางลง นั่นเองค่ะ



ลาเต้ (Latte) คำว่าลาเต้ เป็นภาษาอิตาลี มีความหมายที่แปลว่า นม นั่นเองค่ะ กาแฟลาเต้นี้เป็นที่นิยมอย่างมากนอกประเทศอิตาลีช่วงต้นทศวรรษที่ 1980 ค่ะ นอกจากนี้ กาแฟลาเต้ที่รู้จักกันในอิตาลี ยังมีความหมายที่ใกล้เคียงกับภาษาฝรั่งเศส "café au lait" ซึ่งหมายถึง กาแฟกับนม อีกด้วยค่ะ
ลาเต้มีส่วนผสมหลัก คือ เอสเพรสโซ ผสมนมร้อน รสชาดกาแฟลาเต้จะออกหวานๆ มันๆ น่าจะเป็นอะไรที่ทานง่ายสุดในบรรดากาแฟค่ะ

คาปูชิโน (Cappuccino)  มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี  คนในประเทศอิตาลีส่วนใหญ่มักจะดื่มคาปูชิโนโดยเฉพาะในตอนเช้ากันค่ะ โดยอาจมีขนมปังแผ่นหรือคุกกี้ประกอบ ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า วิถีชีวิตของชาวอิตาลีมักไม่ค่อยรับประทานอาหารเช้าแบบเป็นกิจลักษณะ คาปูชิโนและขนมปังเบาๆ จึงเหมาะเป็นอาหารรองท้องสำหรับยามเช้า และด้วยเหตุนี้ ทำให้ไม่ดื่มคาปูชิโนในช่วงอื่นของวัน
คาปูชิโน่มีส่วนผสมหลัก คือ เอสเพรสโซ่ ใส่นมเหมือนกัน แต่คาปูชิโน่จะเข้มข้นกว่าลาเต้ และเน้นเรื่องฟองนมมากกว่า ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้คาปูชิโนมีรสชาติของกาแฟเข้มกว่าลาเต้ค่ะ



มอคค่า (Mocca) สำหรับที่มาของกาแฟมอคค่านี้ ก็เนื่องมาจาก กาแฟมอคค่าเป็นกาแฟอราบิก้าชนิดหนึ่ง และปลูกอยู่บริเวณท่าเรือมอคค่าในประเทศเยเมนนั่นเองค่ะ มอคค่าเป็นเมล็ดกาแฟที่มีสีและกลิ่นคล้ายชอคโกแลต ซึ่งก็นับว่าเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของกาแฟมอคค่าค่ะ
นอกจากนี้มอคค่ายังหมายถึงกาแฟที่ผสมพวกโกโก้ และชอกโกแลตด้วย เหมาะกับผู้ที่ชอบดื่มกาแฟที่มีความหอม หวาน และมันของช็อคโกแลตที่ผสมอยู่ด้วยค่ะ





แหล่งที่มา: วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต